top of page

การเลือกซื้อเครื่อง Scanner


วิธีการเลือกรุ่นที่เหมาะสม
  • เลือกก่อนว่าคุณต้องการงานสแกนที่รวดเร็วหรืองานสแกนที่คุณภาพสูงเป็นส่วนมาก หากคุณต้องการงานสแกนที่คุณภาพสูงให้เลือกสแกนเนอร์ความละเอียด 1200 dpi หากงานสแกนของคุณไม่มีอะไรซับซ้อนมากความละเอียด 300 dpi ก็เพียงพอแล้ว

  • คุณต้องการสแกนฟิล์มบ่อยๆหรือไม่ หากต้องการสแกนก็ต้องใช้ฟิล์มอแดปเตอร์ยูนิท (FAU) แต่ถ้าคุณไม่ต้องการใช้ FAU บ่อยๆก็ให้เลือกสแกนเนอร์รุ่นที่สามารถถอด FAU เก็บได้อย่าเลือกรุ่นที่มี FAU แบบ built-in มาในตัวเครื่องสแกนเนอร์

  • คุณต้องการสแกนบ่อยๆหรือไม่ หากไม่บ่อยก็ให้เลือกพริ้นเตอร์ที่สามารถสแกนแบบป้อนกระดาษเป็นแผ่นหรือเครื่องแฟกซ์มัลติฟังชั่นที่สามารถพริ้น แฟกซ์และสแกนได้

  • คุณต้องการสแกนหนังสือบ่อยๆหรือไม่ หากต้องการก็ให้เลือกสแกนเนอร์ที่มีฝาเปิด Z-lid สองตอนให้คุณกางหนังสือราบไปกับสแกนเนอร์ได้

  • ตรวจสอบว่าเครื่องพีซีของคุณ มีช่องเชื่อมต่อแบบใด จึงเลือกเครื่องสแกนเนอร์ที่มีสามารถเหมาะสมกับเครื่องพีซีของคุณ

  • คุณต้องการสแกนนอกสถานที่หรือไม่ ถ้าต้องการให้เลือกเครื่องพิมพ์บับเบิ้ลเจ็ทแบบพกพาที่สามารถสแกนได้

วิธีการสแกนให้ได้ผลงานดีที่สุด
  • ตรวจสอบกระจกสแกนให้สะอาดและปราศจากฝุ่น

  • วางเอกสารให้แบนราบกับกระจกเพื่องานสแกนที่คมชัดที่สุด

  • ใช้ USB ทุกครั้งที่สามารถทำได้เพื่อความเร็วในการสแกนที่สูงกว่า

  • ตั้งค่าสแกนเนอร์ให้เหมาะสมสำหรับประเภทของภาพ (เช่น สีหรือขาวดำ)

  • สแกนให้ดีตั้งแต่แรก เพราะไม่ว่าการปรับแต่งด้วย Photoshop จะดีแค่ไหนก็ไม่สามารถแก้ไขงานสแกนคุณภาพต่ำได้

  • สแกนที่ความละเอียดที่เหมาะสมเพื่อความเร็วในการสแกนสูงสุด คุณไม่จำเป็นต้องสแกนที่ 1600 dpi เต็มๆเสมอไปแม้ว่าเครื่องสแกนเนอร์ของคุณมีสเปคที่สูง เพราะว่าการทำเช่นนั้นจะต้องใช้ RAM มากกว่าและใช้เวลาสแกนนานกว่า ความเร็วในการสแกนนั้นขึ้นอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่คุณใช้เป็นอย่างมาก

  • ปรับตั้งสีให้ตรง งานสแกนอาจออกมาดูแตกต่างกันเมื่อเปิดบนมอนิเตอร์ต่างเครื่องได้เพราะการปรับตั้งค่าสี ให้ใช้ CMS คุณภาพดีๆ (เช่น Kodak CMS และ Apple ColourSync) เพื่อแก้ปัญหาน่ารำคาญนี้

วิธีการสแกนให้เสร็จเร็วที่สุด
  • ความเร็วในการสแกนขึ้นอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่คุณใช้

  • หากต้องการสแกนให้เร็วขึ้น คุณควรใช้เครื่องพีซีที่เร็วกว่า มีหน่วยความจำหรือ RAM มากกว่า และเปิดข้อมูลให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

  • การเลือกสแกนเนอร์ที่มีความเร็วในการพรีวิวสูงก็สามารถช่วยได้เช่นกัน

  • สแกนที่ความละเอียดที่เหมาะสมที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของงานพิมพ์ที่คุณต้องการ ขอให้ดูหัวข้อที่ 5 เรื่องความละเอียดที่เหมาะสมที่สุดต่อไป

  • ความละเอียดที่เหมาะสมที่สุดคือเท่าใด

  • หากภาพที่คุณสแกนนั้นจะเอามาแสดงบนหน้าจอเท่านั้น (เช่น PowerPoint เว็บหรือแนบไปกับอีเมลล์) ความละเอียดเพียง 72 dpi ก็พอแล้ว ความละเอียดนี้เป็นความละเอียดสำหรับการแสดงผลบนหน้าจอ ด้วยขนาดเท่านี้ผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์ของคุณก็ไม่ต้องรอนานหรือหากเป็นผู้ที่นั่งชมการนำเสนอทาง PowerPoint ก็ไม่ต้องรอให้ภาพโหลดขึ้นมาเช่นกัน

  • การสแกนเอกสารเพื่อเก็บรักษาในระยะยาวสามารถทำได้ที่ความละเอียด 150 dpi

  • หากคุณต้องการสแกนกราฟแท่งและข่าวตัดจากหนังสือพิมพ์เพื่อประกอบรายงานทางธุรกิจ ให้สแกนที่ความละเอียด 200 dpiเพื่อที่ขนาดไฟล์และความละเอียดจะได้ออกมาพอดี แต่ถ้าคุณต้องการพิมพ์งานที่มีคุณภาพสูงพิเศษก็ให้สแกนที่ความละเอียด 300 dpi

  • สแกนเนอร์ CIS และ CCD ต่างกันอย่างไร

ด้วยเทคโนโลยี CIS ลิขสิทธิ์เฉพาะอันล้ำสมัยของแคนนอน สแกนเนอร์ SlimLine ตระกูล N ของเราจึงมีรูปทรงที่บางและกระทัดรัดเป็นพิเศษ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานทั้งที่บ้านและสำนักงาน สแกนเนอร์ SlimLine นี้ใช้พลังงานต่ำมากดังนั้นรุ่นที่มี USB จึงสามารถทำงานได้โดยอาศัยเพียงไฟจากสาย USB เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้อแดปเตอร์ขนาดใหญ่เทอะทะให้วุ่นวาย สแกนเนอร์ SlimLine ตระกูล N รุ่นล่าสุดมีปุ่ม EZ สามปุ่มเพื่อช่วยให้การใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น เช่น การสั่งให้สแกนภาพหลายภาพและสแกนเข้าอีเมลล์ก็สามารถทำได้เพียงกดปุ่มเดียว สแกนเนอร์ CCD อย่างเช่นสแกนเนอร์ในตระกูล D ของแคนนอนสามารถสแกนวัตถุสามมิติได้ คุณจึงสามารถใช้สแกนวัตถุขนาดเล็กได้โดยสะดวก นอกจากนี้สแกนเนอร์ตระกูล D ส่วนมากยังมีฟิล์มสแกนเนอร์อแดปเตอร์เป็นอุปกรณ์เสริมหรือมีในตัวเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสแกนฟิล์มหรือเนกาทีฟได้โดยตรง ด้วยสองเทคโนโลยีนี้และหลากหลายความละเอียดที่สามารถเลือกได้ ผู้ใช้จึงมีตัวเลือกมากมายให้สอดคล้องกับความต้องการในการใช้งานของตนอย่างแท้จริง สแกนเนอร์ของแคนนอนมีทั้งเทคโนโลยี CIS และ CCD จึงเป็นสแกนเนอร์ที่เหมาะกับทุกคนอย่างแน่นอน

  • USB 2.0 (Full Speed) เป็น USB 2.0 จริงๆหรือไม่

  • USB 2.0 สามารถทำงานได้กับเครื่องพีซีที่มีช่องเชื่อมต่อ USB 1.1 หรือ 2.0 ดังนั้นผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะสามารถทำงานได้ที่สามสเปคด้วยกัน

  • USB 2.0 Low Speed – การทำงานของ USB ที่ความเร็ว 1.5Mb/s (เท่ากับความเร็วในการรับส่งข้อมูลปกติของ USB 1.1)

  • USB 2.0 Full Speed - การทำงานของ USB ที่ความเร็ว 12Mb/s (เท่ากับความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดของ USB 1.1)

  • USB 2.0 High Speed - การทำงานของ USB ที่ความเร็ว 480Mb/s กับเครื่องพีซีที่มี USB 2.0 ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 480Mb/s ซึ่งเร็วกว่า USB 1.1 ถึง 40 เท่า และความเร็วในการรับส่งข้อมูลปกติที่ 60Mb/s ซึ่งเร็วกว่า USB 1.1 5 เท่า

  • ด้วยเหตุนี้เองผู้ผลิตบางรายจึงเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ USB 1.1 ที่กำลังจะออกใหม่ของตนให้เป็น USB 2.0 full speed แทน แต่ในความเป็นจริงแล้วผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำงานที่ความเร็วเท่ากับ USB 1.1. เท่านั้น ไม่ใช่ที่ความเร็วจริงของ USB 2.0 คุณจึงควรตรวจสอบให้ดีก่อนว่าผลิตภัณฑ์ที่คุณกำลังจะซื้อนั้นผ่านการรับรองแล้วว่าเป็น USB 2.0 high speed อย่างแท้จริง


Featured Posts
Recent Posts
Archive
Search By Tags
Follow Us
  • Facebook Basic Square
  • Twitter Basic Square
  • Google+ Basic Square
bottom of page